วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไวรัสคอมพิวเตอร์

ประวัติความเป็นมาของไวรัสคอมพิวเตอร์ พิมพ์ อีเมล์
        โปรแกรมที่สามารถสำเนาตัวเองได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 โดย ดร.เฟรดเดอริก โคเฮน นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาโปรแกรมลักษณะนี้และได้ตั้งชื่อว่า "ไวรัส" แต่ไวรัสที่แพร่ระบาดและสร้างความเสียหายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตามที่มีการบันทึกไว้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2529 ด้วยผลงานของไวรัสที่ชื่อ "เบรน (Brain)" ซึ่งเขียนขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์สองพี่น้องชาวปากีสถาน ชื่อ อัมจาด (Amjad) และ เบซิท (Basit) เพื่อป้องกันการคัดลอกทำสำเนาโปรแกรมของพวกเขาโดยไม่จ่ายเงิน
        ไวรัสคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ จะระบาดโดยการสำเนาซอฟท์แวร์เถื่อนหรือซอฟท์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ที่มีโปรแกรมไวรัสคอมพิวเตอร์ติดอยู่ ด้วยการใช้แผ่น FLOPPY DISK หรือซีดีรอม แต่ในปัจจุบันเนื่องจากการเติบโตของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้ไวรัสยุคหลังๆ มีความสามารถในการทำสำเนาคัดลอกและแพร่กระจายตัวเองได้มากขึ้น รวมทั้งมีความรุนแรงมากกว่าเดิมในปัจจุบันนี้พบว่ามีมากกว่า 40,000 ชนิด และยังเกิดเพิ่มขึ้นอีกอยู่ทุกๆ วัน อย่างน้อยวันละ 4-6 ตัว

ความหมายของไวรัสคอมพิวเตอร์
        ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นให้สามารถจัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียนแบบสิ่งมีชีวิต คือเจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายตัวเองได้ สามารถอยู่รอดได้ด้วยการอำพรางตน เหมือนกับไวรัสที่เป็นเชื้อโรคร้ายทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั่นเอง
        ไวรัสคอมพิวเตอร์ สามารถสำเนาตัวเองให้แพร่กระจายไปยังไฟล์ในระบบคอมพิวเตอร์จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านตัวกลางที่เป็นพาหะเช่น การสำเนาไฟล์ด้วยแผ่นดิสค์เก็ตระหว่างเครื่อง การสำเนาข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสาร
        การที่คอมพิวเตอร์เครื่องใดติดไวรัส หมายความว่า ไวรัสได้เข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสเป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งการที่จะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้จะต้องมีการถูกเรียกใช้งานหรือถูกกระตุ้นให้ทำงาน (ขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสชนิดนั้นๆ) ซึ่งปกติผู้ใช้เครื่องมักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกไวรัสคอมพิวเตอร์ให้ขึ้นมาทำงานแล้ว
        การทำงานของไวรัสแต่ละตัวจะขึ้นกับวัตถุประสงค์ของผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา เช่น ทำลายระบบปฏิบัติการ โปรแกรมใช้งานหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือรบกวนการทำงาน เช่น การบู๊ตระบบช้าลง เรียกใช้โปรแกรมได้ไม่สมบูรณ์ หรือเกิดอาการค้าง (แฮงค์ไม่ทราบสาเหตุ) เกิดข้อความวิ่งไปมาที่หน้าจอ หรือกรอบข้อความเตือนไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น
        เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าชื่อของไวรัสที่เห็นทั่วไปนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ทำไมบริษัทที่พัฒนาโปรแกรมป้องกันไวรัสจึงตั้งชื่อแตกต่างกันไป ทั้งๆ ที่ไวรัสที่ค้นพบนั้นเป็นตัวเดียวกัน อย่างไรก็ตามแม้ว่าชื่อจะเขียนไม่เหมือนกันทุกตัวอักษร แต่ความหมายที่แปลได้จากชื่อนั้นเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น W32.Klez.h@mm W32/Klez.h@MM WORM_KLEZ.H I-Worm.Klez.h เป็นต้น บทความนี้จะอธิบายถึงส่วนต่างๆ ของชื่อไวรัส เพื่อทำให้ผู้อ่านสามารถจำแนกแยกแยะประเภทของไวรัสจากชื่อของไวรัส ความสามารถเด่นๆ ตลอดจนวิธีการแพร่กระจายตัวของไวรัสได้

ส่วนประกอบของชื่อไวรัสนั้นแบ่งได้เป็นส่วนๆ ดังนี้

รูปที่ 1 แสดงส่วนประกอบต่างๆของชื่อไวรัส

        1. ส่วนแรกแสดงชื่อตระกูลของไวรัส (Family_Names) ส่วนใหญ่จะตั้งตามชนิดของปัญหาที่ไวรัสก่อขึ้น หรือภาษาที่ใช้ในการพัฒนา เช่น เป็นม้าโทรจัน ถูกพัฒนาด้วย Visual Basic scripts หรือเป็นไวรัสที่รันบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 32 บิต เป็นต้น ซึ่งชื่อของตระกูลของไวรัสที่ค้นพบในปัจจุบันดังตารางที่ 1


        2. ส่วนชื่อของไวรัส (Group_Name) เป็นชื่อดั้งเดิมที่ผู้เขียนไวรัสเป็นคนตั้ง โดยปกติจะถูกแทรกไว้อยู่ในโค้ดของไวรัส และในส่วนนี้เองจะเอามาเรียกชื่อไวรัสเปรียบเสมือนเรียกชื่อเล่น ตัวอย่างเช่น ชื่อของไวรัสคือ W32.Klez.h@mm และจะถูกเรียกว่า Klez.h เพื่อให้สั้นและกระชับขึ้น

        3. ส่วนของ Variant รายละเอียดส่วนนี้จะบอกว่าสายพันธุ์ของไวรัสชนิดนั้นๆ มีการปรับปรุงสายพันธุ์จนมีความสามารถต่างจากสายพันธุ์เดิมที่มีอยู่ variant มี 2 ลักษณะคือ
                - Major_Variants จะตามหลังส่วนชื่อของไวรัส เพื่อบ่งบอกว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นหนอนชื่อ VBS.LoveLetter.A (A เป็น Major_Variant) แตกต่างจาก VBS.LoveLetterอย่างชัดเจน
                - Minor_Variants ใช้บ่งบอกในกรณีที่แตกต่างกันนิดหน่อย ในบางครั้ง Minor_Variant เป็นตัวเลขที่บอกขนาดไฟล์ของไวรัส ตัวอย่างเช่น W32.Funlove.4099 หนอนชนิดนี้มีขนาด 4099 KB.

        4. ส่วนท้าย (Tail) เป็นส่วนที่จะบอกว่าวิธีการแพร่กระจาย ประกอบด้วย
                - @M หรือ @m บอกให้รู้ว่าไวรัสหรือหนอนชนิดนี้เป็น "mailer" ที่จะส่งตัวเองผ่านทางอี-เมล์เมื่อผู้ใช้ส่งอี-เมล์เท่านั้น
                - @MM หรือ @mm บอกให้รู้ว่าไวรัสหรือหนอนชนิดนี้เป็น "mass-mailer" ที่จะส่งตัวเองผ่านทุกอี-เมล์แอดเดรสที่อยู่ในเมล์บอกซ์

ตัวอย่าง W32.HILLW.Lovgate.C@mm
แสดงว่า
        - อยู่ในตระกูลที่มีผลกระทบต่อระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 32 บิต และถูกคอมไพล์ด้วยภาษาระดับสูง
        - ชื่อของไวรัสคือ Lovgate
        - ที่มี variant คือ C
        - มีความสามารถในการแพร่กระจายผ่านทางอี-เมล์โดยส่งไปยังทุกอี-เมล์แอดเดรสที่อยู่ในเมล์บอกซ์
        จากส่วนประกอบของชื่อไวรัสที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น จะเห็นได้ว่าชื่อของไวรัสนั้นสามารถบอกถึงประเภทของไวรัส ชื่อดั้งเดิมของไวรัสที่ผู้เขียนไวรัสเป็นคนตั้ง สายพันธุ์ต่างๆ ของไวรัสที่ถูกพัฒนาต่อไป และวิธีการแพร่กระจายตัวของไวรัสเองด้วย

วิวัฒนาการไวรัส
        วิวัฒนาการของภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่ก่อกวนคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังต้องยกให้ตระกูล “ไวรัส” สายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อก่อกวนอย่างเดียวไม่ส่งผลกระทบกับข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสลบออก...ก็จบ! แต่ปีที่ผ่านมาวิวัฒนาการของภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตก้าวเข้าสู่ตระกูล “เวิร์ม” หรือหนอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความ สามารถในการก่อกวนเครื่องคอมพิวเตอร์มากขึ้น หลบหลีกการตรวจจับของแอนตี้ไวรัสได้ดี ขึ้น และก่อกวนข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมก๊อบปี้ข้อมูลเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์เต็มได้แม้ในขณะปิดเครื่อง และลบออกได้ยาก แพร่กระจายอย่างเร็ว จนเป็นที่ขยาดของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไปตาม ๆ กัน ล่าสุด ปี ค.ศ. 2007 ภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตมีวิวัฒนาการมากขึ้น มาในรูปแบบของภัยคุกคามตระกูล “มัลแวร์” สายพันธุ์ม้าโทรจัน ที่มีความสามารถในการหลบหลีกและก่อกวนข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เจ้าของเครื่องปวดหัวมากขึ้น จากการเก็บข้อมูลของบริษัทผลิตซอฟต์ แวร์แอนตี้ไวรัสคอมพิวเตอร์ “บิทดีเฟนเดอร์” ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค. รวม 10 เดือน พบโทรจันที่เกิดขึ้นใหม่ถึง 20.36% ซึ่งเป็นโทรจันที่ยังไม่มีฐานข้อมูลเพื่อตรวจจับและยังไม่มีซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสสำหรับจัดการ โดยแนวโน้มพัฒนาการของโทรจันปีหน้า (ค.ศ. 2008) จะเป็นโทรจันที่สร้างขึ้นเพื่อหลบหลีกการดักจับของแอนตี้ไวรัสมากขึ้น และจะมาในรูปแบบของการดาวน์โหลดซึ่งพ่วงเครื่องมือในการขโมยข้อมูลของเหล่า hacker มาด้วย หากพูดให้เห็นภาพต้องบอกว่า เมื่อคอมพิวเตอร์ติดโทรจันก็เท่ากับว่าในเครื่องคอม พิวเตอร์มีเครื่องมือในการขโมยข้อมูลของ hacker อยู่ด้วย เมื่อใดก็ตามที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ข้อมูลส่วนตัว อาทิ เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิตและรหัสบัตรเครดิต ที่เก็บไว้ในเครื่องจะส่งตรงถึง hacker ทันทีนอกจากนี้เซิร์ฟเวอร์ที่เคยมีข้อมูลนิดหน่อยก็จะเต็มในไม่ช้ากระทั่งเซิร์ฟเวอร์พังในที่สุด นายเจริญศักดิ์ ศักดิ์รัตนอนันต์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บิทดีเฟนเดอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า นอกจากการติดไวรัสโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้ว “สแปมเมล์” หรือ อีเมลขยะที่ผู้รับไม่พึงประสงค์ ซึ่งเนื้อหาของสแปมเมล์ที่ถูกส่งมากที่สุด 42.5% คือ การขายยาไวอากร้า ที่พลิกแพลงรูปแบบหลบหลีกการตรวจจับของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส โดยมาในรูปของไฟล์ภาพ (อิมเมจ) แบบเอียง ๆ และเป็นข้อมูลที่ต่างจากไฟล์ข้อมูลทั่วไป นอกจากนี้ 13.8% เป็นสแปมเมล์เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก แม้อีเมล์ขยะจะไม่ทำให้เครื่องพังเหมือนโทรจัน แต่ก็ทำให้เนื้อที่ในการรับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เต็มโดยไม่จำเป็น อ่านถึงตรงนี้ อย่าชะล่าใจคิดว่าคอมพิวเตอร์ของคุณปลอดภัยจากไวรัส เพราะการสำรวจพบว่า 90% ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสมาจากพาหะที่เรียกว่า “ทัมไดรฟ์” วิธีง่าย ๆ ในการตรวจสอบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัสหรือไม่ ให้กดปุ่ม Alt + Ctrl + Delete พร้อมกันทั้ง 3 ปุ่ม ในขณะที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและยังไม่ได้เปิดใช้งานอื่นใด หากพบว่าเนื้อที่ในเซิร์ฟเวอร์ถูกใช้ไปมากทั้งที่ไม่ได้เปิดอย่างอื่นใช้งาน ให้เข้าใจได้เลยว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณติดไวรัสแล้ว! นายเจริญศักดิ์ บอกว่า ความน่ากลัวของภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ต การเติบโตของการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต จะส่งผลให้ปีหน้าบริษัทต่าง ๆ รวมถึงผู้ใช้คอม พิวเตอร์ตามบ้านหันมาให้ความสนใจป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มากขึ้น ทำให้ตลาดซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสปีหน้าโตมากกว่าปีนี้ 5 เท่า ซึ่งบิทดีเฟนเดอร์ได้ทุ่มงบพัฒนาซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการตรวจจับไวรัสและอัพเดท ข้อมูลทุกชั่วโมงมากกว่า2 เท่าของปีนี้ ล่าสุด บิทดีเฟนเดอร์ เปิดตัว ซอฟต์ แวร์แอนตี้ไวรัสเวอร์ชั่นภาษาไทยเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสของบิทดีเฟนเดอร์ที่เป็นภาษาท้องถิ่น โดยขณะนี้บิทดีเฟนเดอร์ทำซอฟต์แวร์แอน ตี้ไวรัสภาษาท้องถิ่นแล้วกว่า 18 ภาษา นอกจากนี้ยังดั๊มพ์ราคาให้ถูกลงสามารถสู้กับซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ที่มีราคา 120 บาทได้ สำหรับซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสของบิท ดีเฟนเดอร์ฉบับภาษาไทยมี 2 แบบ คือ Internet Security 2008 ราคา 399 บาท มีคุณสมบัติในการแอนตี้ไวรัส,สปายแวร์,ฟิชชิ่ง, สแปมเมล์,ไฟร์ วอลล์และมีคุณสมบัติของเกมเมอร์โมด (Gamer Mode) ช่วยให้เล่นเกมได้สบายขึ้น และมีพาเรนทัล คอนโทรล (Parental Control) ช่วยในการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ ส่วน Total Security ราคา 599 บาท มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับที่กล่าวมา โดยเพิ่มในส่วนของฟีเจอร์ Tune-Up การควบคุม, ลบ, เรียกคืนไฟล์ และ Back-Up การเรียกคืนข้อมูลและเก็บข้อมูลเก่า โดยซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสทั้ง 2 แบบจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี อ่านจบแล้วลองกดปุ่ม Alt + Ctrl + Delete ดูสิว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้มีไวรัสหรือเปล่า?.

เห็นว่าห้องแก้ปัญหาไวรัสยังเงียบ ๆ อยู่ เลยหาอะไรที่เกี่ยวกับไวรัสมาให้อ่าน เพื่อเป็นความรู้ไปก่อน และหากท่านใดโดนเข้าให้แล้ว ก็แก้ตามวิธีนี้ได้เลยครับท่าน [emo01]

บู๊ตเซกเตอร์ไวรัส (Boot Sector or Boot Infector Viruses)
คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ของดิสก์ เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงานขึ้นมาตอนแรก เครื่องจะเข้าไปอ่านโปรแกรมบูตระบบที่อยู่ในบูตเซกเตอร์ก่อน ถ้ามีไวรัสเข้าไปฝังตัวอยู่ในบูตเซกเตอร์ในบริเวณที่เรียกว่า Master Boot Record (MBR)
ในทุกครั้งที่เราเปิดเครื่อง ก็เท่ากับว่าเราไปปลุกให้ไวรัสขึ้นมาทำงานทุกครั้งก่อนการเรียกใช้โปรแกรมอื่นๆ

การป้องกันและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์
โปรแกรมไวรัสเป็นโปรแกรมที่สามารถสร้างได้ง่าย แต่ตรวจจับได้ยาก เปรียบเหมือนเชื้อโรคร้ายที่คอยทำลายบรรดาโปรแกรมและข้อมูลสำคัญบนเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากความสามรถในการสำเนาตัวเอง แฝงตัวและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากในการใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อความปลอดภัยของบรรดาข้อมูลต่างๆ ไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาให้สร้างความเสียหายสูงขึ้นไปทุกขณะ และแฝงตัวไปกับไฟล์ได้ทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่
่ไฟล์รูปภาพ การ์ดอวยพร เพลง และภาพยนตร์ ในอนาคตสิ่งที่น่ากลัวคือผ่านทางระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (เทคโนโลยีโทรศัพท์ปัจจุบันนี้ไม่ต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด เพราะสามารถรับส่งภาพ เพลง เกมและเล่นอินเทอร์เน็ตได้) จึงเป็นเป้าหมายใหม่สำหรับแฮกเกอร์และบรรดาผู้ที่พัฒนาไวรัสคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย การรับมือกับไวรัสคอมพิวเตอร์
ควรจะระวังป้องกันอย่างไร
เพื่อไม่ให้เข้าไปทำลายระบบและไฟล์ข้อมูลอันสำคัญของเรา ง่ายๆ ถ้าคุณทำได้โอกาสที่ไวรัสจะสร้างความเสียหาย
ให้ก็น้อยลง วิธีการมีดังนี้
- ทุกครั้งที่ได้รับซอฟท์แวร์ที่ไม่ทราบแหล่งผลิต หรือได้รับแจกฟรี หรือดาวน์โหลดมาใช้ฟรีๆ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำมาใช้งาน
- การทำสำเนาแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครื่องต้องตรวจสอบก่อนทุกครั้ง อย่ามั่นใจแม้จะมีโปรแกรมป้องกันไวรัสติดตั้ง
อยู่ในเครื่องแล้วก็ตาม ควรสำรองข้อมูลที่สำคัญไว้เสมอๆ
- ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาใช้เครื่องของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด (โดยเฉพาะการนำโปรแกรมต่างๆ มาติดตั้งในเครื่อง)
- พยายามสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์โตขึ้นหรือเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ลดลงมากผิดปกติ หน้าจอแสดงผลแปลกๆ ไฟฮาร์ดดิสก์ติดสว่างไม่ยอมดับ
- ควรหาโปรแกรมป้องกันไวรัสติดตั้งไว้ในเครื่องและ หมั่นอัพเดทซิกเนเจอร์ไวรัส อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไวรัส
ชนิดใหม่ๆ (ปกติจะมีการอัพเดททุกๆ สัปดาห์) เช่น McAfee, Norton, PC-Cillin, Panda เลือกใช้กันเองนะครับ
- สำหรับนักท่องเน็ตทั้งหลาย ต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น ด้วย ไม่เปิดไฟล์ที่แนบมากับอีเมล์จากคนที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน
ส่วนใหญ่จะมีข้อความเชิญชวน เช่น ข้อมูลสำคัญที่คุณต้องการ ภาพเด็ดๆ เพื่อคุณ หรืออื่นๆ (ถ้าติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้จะช่วยตรวจสอบให้คุณได้ ถ้าโปรแกรมได้รับการอัพเดทบ่อยๆ)
- หลีกเลี่ยงการคลิกป้ายโฆษณาเชิญชวนในลักษณะที่บอกว่าจะทำให้คุณท่องเน็ตได้เร็วและนาน สามารถเข้าดูภาพ
ลับเฉพาะได้ เพราะนั่นคือกับดักที่ล่อให้คุณติดกับ
- หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดโปรแกรมที่ไม่ทราบที่มา หรือไม่ทราบว่าโปรแกรมนั้นใช้ทำอะไร หรือในแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
น่าเชื่อถือ
*โปรแกรมป้องกันไวรัสสามารถหามาใช้งานได้จากเว็บไซต์ผู้ผลิต หรือแหล่งดาวน์โหลดใหญ่ๆ เช่น Download.com, Tucows.com, Thaiware.com ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมประเภทแชร์แวร์ให้
ทดลองใช้ 30 วัน
แห่งอัพเดทซิกเนเจอร์ไวรัส มีอยู่ที่ไหน ก็สังเกตุง่ายๆก็ www.ตามด้วยชื่อยี่ห้อหรือบริษัทโปรแกรมไวรัสฯที่เราใช้นั่นแหละ
และอีกแห่งหนึ่งที่อยากแนะนำที่ผมเข้าไปใช้บริการค่อนข้างบ่อยที่ห้องสมุด มช.ที่
http://www.med.cmu.ac.th/library/ITCorner/VirusAlert/VirusAlert.htm

การที่เราอัพเดทก็หมายถึงการเพิ่ม
ประสิทธิภาพของโปรแกรมในการตรวจจับและกำจัดไวรัส และการเพิ่มรายชื่อไวรัสหรือที่ผมชอบพูดเสมอว่าปาร์ตี้ลิสต์เพื่อที่จะให้โปรแกรมทราบว่ามีรายชื่อไวรัสอะไรบ้างที่จะต้องกำจัด ถ้าเราไม่อัพเดทก็หมายความว่าไวรัสชื่อใหม่ๆ โปรแกรมป้องกันไวรัสของท่านก็ป้องกันกำจัดไม่ได้เพราะไม่มีชื่อไวรัสในปาร์ตี้ลิสต์ หาไปก็ไม่รู้จัก อย่างไรก็ตามถ้าเราช้าและไม่ได้สนใจก้มหน้าก้มตาใช้อย่างเดียว เราอาจจะสายเกินสำหรับการป้องกันและกำจัด เครื่องคอมฯเราอาจจะพังหรือแก้ไขไม่ได้ก็เหลือวิธีสุดท้ายก็คือฟอร์แมทต์ล้างฮาร์ดดิสต์ แล้วหาโปรแกรมใหม่ดีๆไว้ใจได้ลงใหม่ หรือเปลี่ยนฮาร์ดดิสต์ใหม่เลย นั่นหมายถึงเสียเงินแน่นอนและหลายตังค์ด้วย สุดท้ายในข้อเสนอส่วนตัวจริงๆครับและเป็นส่วนตัวของผม อยากขอร้องให้เราอย่าเชื่ออะไรที่ไม่เข้าท่า ไม่เข้าที ไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นเหยื่อรายแล้วรายเล่า ศึกษาให้รู้เท่าทัน อย่าปิดตัวเอง ท่านจะตามไม่ทัน แก้ไม่ได้แล้วต้องเสียเงินมากมาย ที่สำคัญที่สุดอย่าปิดหัวใจนะครับท่าน

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ประวัติพระธาตุปางหลวง

วัดพระธาตุลําปางหลวง
14-04-2010 Views: 3944

วัดพระธาตุลําปางหลวง เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม และมีความสําคัญทางด้านประวัติศาสตร์ วัดพระธาตุลําปางหลวงเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลําปาง ตามตํานานกล่าวว่า มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ตัววัดตั้งอยู่บนเนิน มีบันไดนาคทอดขึ้นสู่ตัววัด วัดพระธาตุลําปางหลวง ตั้งอยู่ที่ ต.ลําปางหลวง ห่างจากตัวเมืองลําปาง ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร ตามทางหลวงสายลําปาง-เถิน ถึงหลักกิโลเมตรที่ 586 เลี้ยวเข้าไปจนถึงที่ว่าการอําเภอเกาะคา จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 2 กิโลเมตร วัดพระธาตุลําปางหลวง มีพุทธสถานที่น่าสนใจได้แก่ วิหารหลวง ซึ่งเป็นวิหารขนาดใหญ่ เปิดโล่ง มีกู่บรรจุพระเจ้าล้านทอง เป็นประธานของพระวิหาร หลังพระวิหารมีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่รั้วทองเหลือง รอบองค์พระเจดีย์มีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฎอยู่ ด้านขวาองค์เจดีย์เป็นวิหารน้ำแต้ม (แต้ม แปลว่าภาพเขียน) เป็นวิหารเปิดโล่ง ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมาก ด้านซ้ายของพระเจดีย์เป็นวิหารพระพุทธ เป็นอาคารปิดทึบ มีพระประธานแบบเชียงแสนองค์ใหญ่อยู่เต็มอาคาร หน้าบันของวิหารพระพุทธเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี และพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งรวบรวมศิลปวัตถุจากที่ต่างๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น สังเค็ดธรรมาสนเทศน์ คานหาบ ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น นอกจากนี้ วัดพระธาตุลําปางหลวง ยังเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วดอนเต่า ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลําปาง ทุกปีจะมีงานประจําปีในวันเพ็ญเดือน 12

ประวัติสุนทรภู่


พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2398) เป็นกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียง ได้รับยกย่องเป็น เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย[1] เกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี และได้เข้ารับราชการเป็นกวีราชสำนักในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นอาลักษณ์ในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต
สุนทรภู่เป็นกวีที่มีความชำนาญทางด้านกลอน ได้สร้างขนบการประพันธ์กลอนนิทานและกลอนนิราศขึ้นใหม่จนกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่มีมากมายหลายเรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณ เพลงยาวถวายโอวาท กาพย์พระไชยสุริยา และ พระอภัยมณี เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่อง พระอภัยมณี ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนิทาน และเป็นผลงานที่แสดงถึงทักษะ ความรู้ และทัศนะของสุนทรภู่อย่างมากที่สุด งานประพันธ์หลายชิ้นของสุนทรภู่ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการเรียนการสอนนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เช่น กาพย์พระไชยสุริยา นิราศพระบาท และอีกหลายๆเรื่อง
ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นที่กำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์แห่งอื่นๆ อีก เช่น ที่วัดศรีสุดาราม ที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดนครปฐม วันเกิดของสุนทรภู่คือวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็น วันสุนทรภู่ ซึ่งเป็นวันสำคัญด้านวรรณกรรมของไทย มีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป

ประวัติวัดพระสิงห์วรวิหาร


ประวัติ วัดพระสิงห์ วรวิหาร               พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ขั้นแรกให้สร้างเจดีย์สูง ๒๓ วา เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีกสองปีจึงสร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฎิสงฆ์เรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลี" ต่อมาบริเวณหน้าวัดมีตลาดเกิดขึ้นชาวบ้านเรียกว่า "ตลาดลีเชียง" แล้วเรียกวัดว่า "วัดลีเชียง" และ "วัดลีเชียงพระ" ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเช ียงราย เมื่อขบวนช้างอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาถึงหน้าวัดลีเชียงก็ไม่ยอ มเดินทางต่อ
พระเจ้าแสนเมืองมาจึงให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียง ประชาชนทางเหนือนิยมเรียก"พระพุทธสิหิงค์" สั้นๆ ว่า "พระสิงห์" จึงเรียกชื่อวัดตามพระพุทธรูปว่า "วัดพระสิงห์"
            เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๔ พระเจ้ากาวิละได้ โปรดฯ ให้สร้างอุโบสถ และหอไตรขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาคารทรงล้านนาขนาดใหญ่ ตรงกลางอาคารมีกู่ซึ่งแต่เดิมคงเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานพระประธ าน

ตำนานพระสิงห์(พระพุทธสิหิงค์)
  • พระมหาเถรโพธิรังสีชาวหิริภุญไชย รจนาภาษาบาลีไว้ว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ พระเจ้าสีหฬะแห่งลังกาทวีป ได้โปรดให้หล่อพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่งเรียกว่า "พระพุทธสิหิงค์" แต่ในชินกาลมาลีปกรณ์เรียกว่า"สีหฬะปฏิมา" ตามนามกษัตริย์ผู้สร้าง
  • พ.ศ. ๑๘๓๙ - กษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราช ได้แต่งทูตไปขอคัมภีร์พระไตรปิฎกจากลังกา และได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์อีกองค์หนึ่ง(ศิลปะลังกา)กลับมาด้วย ภายหลังมาประดิษฐานอยู่ที่กรุงสุโขทัย เมื่อพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ตีกรุงสุโขทัยได้ หลายสิบปีต่อมาพญาไสลือไทยได้อัญเชิญมาไว้ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อพญาไสลือไทยสิ้นพระชนม์ จึงอัญเชิญมาที่กรุงศรีอยุธยา
  • พ.ศ. ๑๙๒๗ - พระญาณดิศ เชื้อวงศ์พระร่วงได้กราบทูลพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาขออัญเชิญมาไว้ที่เมืองกำแพงเพชร
  • พ.ศ. ๑๙๓๔ - เจ้ามหาพรหม พระปิตุลาของเจ้าแสนเมืองมาได้อัญเชิญไปไว้ที่เมืองเชียงราย ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏ วัดที่ประดิษฐานพระพุทธสิงหิงค์อีกแห่งหนึ่ง ที่เมืองเชียงรายมีชื่อว่า วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงราย และโปรดให้หล่อพระพุทธสิหิงค์จำลองขึ้น เมื่อเจ้ามหาพรหมถึงแก่พิราลัยแล้ว พระพุทธสิหิงค์จึงได้มาประดิษฐาน ณ วัดลีเชียงพระ ในนครเชียงใหม่ เช่นเดิม
  • พ.ศ. ๒๐๘๔ - พระไชยเชษฐากษัตริย์ล้านช้างเชื้อสายล้านนา ทรงนำพระพุทธสิหิงค์ และพระพุทธรูปจากเชียงใหม่หลายองค์ไปไว้ที่ล้านช้าง(หลวงพระบาง) เมื่อทางเชียงใหม่ทวงถามจึงทรงคืนพระพุทธสิหิงค์มาเพียงองค์เดียว
  • พ.ศ. ๒๒๐๕ - สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงยกทัพมารบเชียงใหม่ และทรงอัญเชิญลงไปไว้ที่อยุธยาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อยู่นานถึง ๑๐๕ ปี
  • พ.ศ. ๒๓๑๐ - กรุงศรีอยุธยาแตก ทัพทหารเชียงใหม่ที่มาในกองทัพพม่าอัญเชิญกลับนครเชียงใหม่ทางเรือ และประดิษฐานอยู่ที่วัดพระสิงห์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  รวมแล้วประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นระยะเวลา ๒๘   ปี
  • พ.ศ.๒๓๓๘   ประดิษฐานที่กรุงเทพฯ  จนถึงปัจจุบัน (พระประธาน)

ประวัติวัดพระแก้ว




วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

 
          พระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหารัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ภายในวัดพระแก้วนี้มีสิ่งสำคัญและสวยงามอยู่มากมาย เช่น
พระอุโบสถหรือโบสถ์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย มีระเบียงเดินได้รอบพระอุโบสถ

          ผนังอุโบสถสวยงามมากเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ปูนปั้นปิดทองประดับกระจก ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นทรงมณฑปปิดทองประดับกระจก บานประตูหน้าต่างทั้งหมดประดับมุกโดยฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ภายในพระอุโบสถนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่เคารพนับถือของชาวไทย คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่คนไทยรียกกันจนติดปากว่า พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งแกะสลักมาจากหยกสีเขียวเข้มที่มีค่าและหายากมาก ถ้าใครเคยไปแถวสนามหลวง จะมองเห็นกำแพงยาวสีขาวล้อมรอบวัดอยู่วัดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่โตและสวยงามมากทีเดียว ทราบไหมว่าเป็นสัตว์อะไร ก็วัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั่นไง เรามาดูกันดีกว่าวัดนี้มีความสำคัญและมีประวัติความเป็นมากันอย่างไร
          วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวัง จึงทำให้มีลักษณะที่แปลกกว่าวัดอื่นๆ คือ ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ในวัดนี้เลยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พร้อมกับหลายคนคงเคยไปนมัสการพระแก้สมรกตกันมาแล้ว เคยสังเกตไหมว่าพระแก้วมรกตจะมีเครื่องทรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ทราบหรือไม่ว่ามีเครื่องทรงฤดูอะไรบ้าง และจะเปลี่ยนเครื่องทรงเมื่อไร
เครื่องทรงของวัดพระแก้วมรกตมีเครื่องทรงฤดูร้อน เครื่องทรงฤดูฝน เครื่องทรงฤดูหนาว ซึ่งเครื่องทรงเหล่านี้ทำด้วยทองคำประดับเพชรและสิ่งมีค่าชนิดต่าง ๆ ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญประการหนึ่งของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑

          จนถึงรัชกาลปัจจุบันที่จะต้องเสด็จ ฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงประจำฤดูด้วยตนเองซึ่งกำหนดวันเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตมีดังนี้
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูร้อน
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูฝน
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว

          นอกจากพระอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตแล้ว ภายในวัดพระแก้วก็ยังมีพระระเบียงที่งดงามมาก ผนังด้านในของพระระเบียงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจนจบ และมีคำโคลงจารึกบนแผ่นศิลาเพื่ออธิบายแต่ละภาพติดไว้ที่เสาระเบียงอีกด้วย
สิ่งสำคัญและสวยงามในวัดพระแก้วอีกอย่างหนึ่งคือ ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทจัตุรมุขยอดปรางค์ ตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถกับหอพระมนเทียรธรรม สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔

          ภายในประดิษฐานพระบรมรูปพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักกรีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๘ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ฯ ไปทรงถวายราชสักการะพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในวันที่ ๖ เมษายนของทุกปี อันเป็นวันที่ระลึกถึงพระมหาจักรีวงศ์ หรือที่เราเรียกว่า “ วันจักรี ”
ในบริเวณวัดพระแก้วนี้ยังมีสถานที่สำคัญและงดงามอีกมากมาย เช่น พระมณฑป ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังปราสาทพระเทพบิดร เป็นพระมณฑปที่มีรูปทรงงามมาก มีซุ้มประตูทางเข้า ๔ ด้าน หลังคามุงด้วยแผ่นทองแดงประดับกระจก ภายในพระมณฑปประดิษฐานตู้พระไตรปิฎก เป็นตู้ยอกมณฑปประดับมุกที่ใช้เก็บรักษาพระไตรปิฎกฉบับทอง

          สถานที่งดงามซึ่งทุกคนจะได้พบเห็นนอกจากนี้ก็ยังมี พระศรีรัตนเจดีย์ วิหารยอดหอมณเทียรธรรม นครวัดจำลอง หอระฆัง ศาลาราย ฯ ถ้าอยากเห็นสถานที่สำคัญและสิ่งสวยงามต่าง ๆ เหล่านี้ก็ต้องไปชมกันที่วัดพระแก้ว

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ประวัติถำปลา

ประวัติและความเป็นมา
ข้อมูลทั่วไป
    อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่วนอุทยานถ้ำปลา และวนอุทยานน้ำตกผาเสื่อ ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ปายฝั่งขวา ท้องที่อำเภอเมืองและอำเภอปางมะผ้า และด้วยเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน แนวเทือกเขาจะทอดยาวตามแนวเหนือใต้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ ถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ที่สวยงามเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป เหมาะสำหรับการไปพักผ่อนหย่อนใจอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ มีเนื้อที่ประมาณ 488 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 305,000 ไร่  ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติครั้งที่ 1/2540 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2540 เห็นชอบให้กรมป่าไม้ดำเนินการสำรวจเพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-ผาเสื่อ โดยเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้จึงได้มีคำสั่งที่ 652/2528 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจพื้นที่เพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ ลงวันที่ 10 เมษายน 2538 และคำสั่งกรมป่าไม้ที่ 240/2539 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539 ให้นายพินิต สุวรรณรัตน์ ดำเนินการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติมในพื้นที่วนอุทยานถ้ำปลาและวนอุทยานน้ำตกผาเสื่อ เพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ  ผลการสำรวจได้รวบรวมพื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติจำนวน 305,000 ไร่ หรือประมาณ 488 ตารางกิโลเมตร อุทยานแห่งชาตินี้เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่างแท้จริง และได้กันพื้นที่หมู่บ้านหรือชุมชน ออกจากที่จะประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว ประกอบกับทางอุทยานแห่งชาติ ได้ดำเนินการประสานงานกับ หน่วยงานอื่น อาทิเช่น ฝ่ายปกครอง ผู้นำท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด จึงไม่มีปัญหามวลชนแต่อย่างใดและต่อมา คณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีการประชุมเมื่อวันที่29 พฤษภาคม 2539 ซึ่งมีนายสมเจตน์   วิริยะดำรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ
                ปัจจุบันคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติ
ถ้ำปลา-ผาเสื่อ จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยให้ดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติต่อไป


ถ้ำปลา

               เป็นถ้ำใต้เชิงเขา มีธารน้ำไหลออกมาจากถ้ำตลอดทั้งปี บริเวณปากถ้ำเป็นวังน้ำกว้างประมาณ 2 เมตร และลึก 1.5 เมตร สามารถมองเห็นฝูงปลาขนาดใหญ่ มีสีดำเทาอมฟ้า เรียกว่า ปลามุงหรือพลวง ภายในถ้ำจะมีปลาดังกล่าวอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะชาวบ้านเชื่อว่าปลานี้เป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ หากใครนำมารับประทานจะพบภัยพิบัติ บริเวณหน้าถ้ำมีอาหารปลาจำหน่ายซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมซื้อและให้อาหารปลาอยู่เสมอ นอกจากนี้ถ้ำปลายังมีทิวทัศน์ของสภาพป่า หน้าผาเขาหินปูนอันเป็นธรรมชาติที่สวยงามมากถ้ำปลาอยู่ริมทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1095 สายแม่ฮ่องสอน-แม่มาลัย ระหว่าง กม. 191-192 ห่างจากเมืองแม่ฮ่องสอนเพียง 17 กิโลเมตร  สถานที่กางเต็นท์/เต็นท์ อุทยานแห่งชาติ ยังไม่ที่พัก-บริการไว้บริการนักท่องเที่ยว มีแต่สถานที่กางเต็นท์ให้บริการนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นอุทยานแห่งชาติจัดตั้งใหม่ หากสนใจที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมเต็นท์และอาหารไปเอง ที่ถ้ำปลามีร้านจำหน่ายอาหารเปิดบริการกิจกรรม - ชมทิวทัศน์ - เที่ยวถ้ำ/ธรณีวิทยา


ลักษณะภูมิประเทศ

               เป็นแนวเทือกเขาหลายเทือกสลับเป็นลูกคลื่นต่อเนื่องไปจนจดชายแดนพม่าทางด้านทิศเหนือ มีความลาดชันมาก จุดสูงสุดเป็นยอดเขาดอยลาน สูงประมาณ 1,918 เมตรจากระดับน้ำทะเล อาณาเขตทิศเหนือจดรัฐฉาน สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า ทิศใต้จดห้วยหมากอื้นและห้วยผึ้ง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทิศตะวันออกจดลำน้ำของ กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทิศตะวันตกจดรัฐฉาน สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า


ลักษณะภูมิอากาศ
              จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีลักษณะภูมิอากาศแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูกาล
            ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดผ่านทะเล และมหาสมุทร ทำให้อากาศชุ่มชื้นและมีฝนตกชุก โดยเฉพาะเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในรอบปี
            ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ โดยความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่เกิดหมอกมากที่สุดประมาณ 21 - 26 วัน ส่วนมากเกิดตอนรุ่งเช้า โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยได้ 9.80 องศาเซลเซียส
            ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม จะมีอากาศร้อนอบอ้าวทั่วโดยเฉพาะเดือนเมษายน จะเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนที่สุดในรอบปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 34.09 องศาเซลเซียส
พืชพรรณและสัตว์ป่า
              สภาพป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อสามารถจำแนกออกได้เป็น
              ป่าดงดิบ  ส่วนใหญ่จะเป็นผืนป่าดิบชื้นและป่าดิบเขาครอบคลุมพื้นที่ประมาณ  35เปอร์เซ็นต์ สภาพดินค่อนข้างลึก มีความชุ่มชื้นสูง ชนิดไม้ที่สำคัญได้แก่ ยาง ประดู่ ตีนเป็ด ก่อ ฯลฯ พืชพื้นล่างจะพบหวาย ขิง ข่าป่า และเฟิน มากมาย
               ป่าสนเขา เป็นป่าที่พบในพื้นที่สูงประมาณ 300-1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะเป็นป่าโปร่งมีทั้งสนสองใบและสนสามใบ ส่วนใหญ่จะขึ้นปะปนอยู่กับป่าเต็งรังพืชพื้นล่างส่วนใหญ่เป็นหญ้าคา
               ป่าเบญจพรรณ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ พบตามที่ราบเชิงเขาและที่ลาดชันตามไหล่เขา ตลอดจนริมห้วยทางตอนเหนือและตอนกลางของพื้นที่ จนถึงระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ชนิดไม้ที่สำคัญได้แก่ ตะแบก มะค่าโมง ประดู่ แดง ไทร และงิ้วป่า
                ป่าเต็งรัง พบตามสันเขาและตามที่ลาดชันที่ระดับความสูงประมาณ 300-900 เมตรจากระดับน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ สภาพดินตื้น มีก้อนหินโผล่ กรวด และลูกรังปะปน ชนิดไม้ที่สำคัญได้แก่ มะค่าแต้ เต็ง รัง ตะแบกนา เป็นต้น  จากการสำรวจสัตว์ป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติพบไม่น้อยกว่า 408 ชนิด เช่น เลียงผา กระทิง ควายป่า หมี เก้ง กวางป่า หมูป่า กระต่ายป่า และนกนานาชนิด ฯลฯ นก 123 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม 30 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 5 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 30 ชนิด ปลาน้ำจืด 20 ชนิด แมลง 200 ชนิด

ลักษณะที่โดดเด่นของแหล่งข้อมูล
                    ถ้ำปลาเป็นถ้ำใต้เชิงเขา มีธารน้ำไหลออกมาจากถ้ำตลอดทั้งปี บริเวณปากถ้ำเป็นวังน้ำกว้างประมาณ 2 เมตร และลึก 1.5 เมตร สามารถมองเห็นฝูงปลาขนาดใหญ่ มีสีดำเทาอมฟ้า เรียกว่า ปลามุงหรือพลวง ภายในถ้ำจะมีปลาดังกล่าวอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะชาวบ้านเชื่อว่าปลานี้เป็นปลาศักดิ์สิทธิ์